วิธีดูแลรอยสักของแต่ละคนเป็นแบบไหนกันบ้าง? เชื่อว่าหลาย ๆ คนนั้นคงจะชื่นชอบในเรื่องของการสักกันอยู่ไม่น้อยเพราะการสักลายเปรียบเสมือนการแสดงเอกลักษณ์ของตัวเองที่มีความชอบในเรื่องของความเป็นศิลปะบนเรือนร่างที่เราเองก็สามารถสรรค์สร้างมันขึ้นมาได้จนเกิดเป็นจุดเด่นที่หากใครเห็นแล้วเป็นต้องรู้จักเราในแบบที่เราเป็น แต่อีกหนึ่งสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้หลังจากการสักลายเลยนั้นก็คือเรื่องของวิธีดูแลรอยสักที่มีความจำเป็นไม่แพ้กัน ซึ่งวันนี้บทความของเราก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวิธีดูแลรอยสักที่เราได้รวบรวมเอาวิธีต่าง ๆ มาแชร์กันในวันนี้จะมีสิ่งใดที่น่าสนใจบ้างก็มาเริ่มกันเลย
วิธีดูแลรอยสัก แบบละเอียด ไม่พลาดในทุกช่วงหลังจากการสัก
รอยสัก ศิลปะบนเรือนร่างที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลาย ๆ คนสามารถที่จะมีความสุขได้ผ่านความเจ็บปวดแต่เป็นความเจ็บปวดที่สวยงามจากการสัก ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่าในขณะที่สักนั้นเรื่องของความเจ็บอาจจะยังมีน้อยบ้างหรือในบางคนก็อาจจะไม่เจ็บเลย แต่บางคนก็ดันเจ็บมากซะงั้น ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและช่างสักที่มีเทคนิคในการสักที่แตกต่างกันนั่นเอง
แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนจะต้องปฏิบัติหลังจากที่สักมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของวิธีดูแลรอยสักที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหลังจากการจัดที่จะต้องดูแลรอยสักอย่างดีเพื่อที่จะทำให้รอยสักของคุณนั้นคงอยู่ยาวนานและช่วยให้แผลสามารถสมานตัวได้เร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งความสวยงามของรอยสักที่คุณนั้นได้ทนเจ็บปวดจากการสักมาโดยในปี 2566 นี้ก็มีวิธีดูแลรอยสักที่เราอยากจะนำมาแชร์ให้ทุกท่านได้รู้จักกันดังนี้
หลังจากที่สักเสร็จ
หลังจากที่สักเสร็จนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่าช่างสักจะทำการทำความสะอาดบริเวณรอยสักของเราโดยการทาขี้ผึ้งหรือการทาเจลปิโตรเลียมเพื่อเป็นการที่ช่วยปิดแผลเอาไว้ และยังป้องกันเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่แผลหลังจากการสักได้ เนื่องจากแผลหลังการสักนั้นเป็นแผลชนิดเปิด จึงเป็นแผลที่ทำให้เชื้อโรคสามารถเข้าสู่บริเวณนั้นได้ง่ายมาก ๆ และหากเชื้อโรคใด ๆ ที่เข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดอันตรายก็อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้อีกเช่นเดียวกัน แถมในส่วนของการเกิดการติดเชื้อนี้ก็จะมีอาการที่ค่อย ๆ แสดงออกมาให้เราได้เห็นอีกด้วย ดังนั้นช่างสักจึงต้องการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการสักด้วยการทาขี้ผึ้งหรือปิโตรเลียมเจลลี่นี้ไว้นั่นเอง
และหลังจากการทาขี้ผึ้งหรือเจลปิโตรเลียมนี้ไปแล้วช่างสักก็จะทำการปิดแผลของเราเอาไว้โดยจะปิดเอาไว้ประมาณ 2-6 ชั่วโมง ซึ่งใน 6 ชั่วโมงแรกนั้นก็เป็นช่วงที่เราต้องอดทนกันสักนิดหนึง อย่าเพิ่งทำการแกะแผลออกหรือหากอยากให้ชัวร์ก็โทรถามช่างสักอีกทีนึงว่าสามารถแกะแผลออกเลยได้หรือไม่ และเมื่อช่างสักคอนเฟิร์มหรือระยะเวลาล่วงเลยผ่านไปหลังจาก 6 ชั่วโมงแล้วก็แกะผ้าพันแผลออกได้เลย
ซึ่งเมื่อแกะผ้าพันแผลออกแล้วสิ่งแรกที่เราควรจะทำเลยก็คือการใช้มือกวักน้ำผ่านรอยสักอย่างเบามือ โดยแนะนำให้ใช้เป็นน้ำอุ่น และหลีกเลี่ยงการใช้น้ำเย็นหรือน้ำร้อนจะดีที่สุด จากนั้นให้นำเอาทิชชูมาซับในบริเวณนั้น ๆ ให้พอแห้งเน้นย้ำว่าให้ซับไม่ใช่เช็ดเพราะการเช็ดอาจทำให้แผลนั้นเกิดการเปิดอีกครั้งและยังทำให้สีรอยสักมีความไม่สม่ำเสมอเกิดการผิดเพี้ยนได้จึงต้องทำการซับด้วยทิชชูอย่างเบามือที่สุด
ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองว่าการทาขี้ผึ้งหรือเจลปิโตรเลียมนั้นเป็นสิ่งสกปรกที่ควรชะล้างออกด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ที่ควรนำมาล้างแผลแต่จริง ๆ แล้ว หลังจากการสัก 2 สิ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้ามมาก ๆ เลยทีเดียวเพราะ 2 สิ่งนี้แหละที่จะทำให้แผลของคุณนั้นเกิดการติดเชื้อ ดังนั้นจึงห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะใช้สบู่หรือแอลกอฮอล์ในการมาล้างแผลและหากใครพลาดไปแล้วก็จะทำให้รอยสักของคุณมีความผิดเพี้ยนดูไม่สวยงามเหมือนที่ตั้งใจไว้อีกด้วย
เมื่อแผลเริ่มแห้ง
ในช่วงที่แผลของคุณเริ่มแห้งนั้นจะเป็นช่วงระยะเวลา 1 ถึง 3 วันซึ่งในช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงที่ไม่ควรใช้สบู่กับแอลกอฮอล์ในการนำมาล้างแผลอยู่ดี แต่ในช่วงนี้สามารถทำการล้างแผลด้วยน้ำอุ่นได้สักวันละ 1-2 ครั้งเพราะในช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่แผลค่อนข้างจะเข้าที่และเริ่มแห้งสนิทแล้ว ดังนั้นจึงสามารถมั่นใจได้พอสมควรเลยว่าไม่มีสิ่งใดที่ซึมออกมาจากแผลและแนะนำว่าหลังจากที่ล้างแผลด้วยน้ำอุ่นแล้วนั้นก็ควรบำรุงด้วยการทาครีมหรือเจลที่ให้ความชุ่มชื่นและมีความอ่อนโยนอีกทั้งยังต้องปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์อีกด้วย
เพราะการที่ได้ทาครีมหรือเจลที่ให้ความชุ่มชื้นเหล่านี้นั้นจะทำให้แผลในบริเวณที่ได้รับการสักมามีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากแพ้หลังการสักจะมีความแห้งมากกว่าปกติเพราะถูกผลัดเซลล์ในบริเวณนั้นนั่นเอง ดังนั้นหากสามารถที่จะบำรุงด้วยครีมหรือเจลที่ให้ความชุ่มชื้นเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้ผิวในบริเวณนั้นมีความชุ่มชื้นตามไปด้วยได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว อีกทั้งในช่วงนี้ก็ควรงดทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ ของดอง รวมไปถึงของหมัก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอาหารแสลงที่เป็นพิษต่อรอยสักและทำให้แผลนั้นหายยากอีกด้วย
หรือหากใครที่ชื่นชอบในการว่ายน้ำและอยากว่ายน้ำในช่วงนี้นั้น ก็ต้องอดทนกันอีกสักหน่อยเพราะอีกไม่กี่สัปดาห์คุณก็สามารถที่จะว่ายน้ำได้แล้วแต่ในช่วง 1-3 วันแรกนี้ให้งดไปก่อนเพื่อที่จะทำให้แผลในบริเวณรอยสักของคุณแห้งสนิทซึ่งก็ส่งผลต่อรอยสักที่มีความสวยงามของคุณอีกเช่นเดียวกัน
เมื่อแผลแห้งแล้ว
เมื่อมาถึงช่วงที่แผลแห้งแล้วบอกเลยว่าในช่วงนี้จะมีอาการระคายเคืองหรือการคันอยู่ ซึ่งหากเราเผลอไปแคะ แกะ หรือเกา แล้วแน่นอนเลยว่าในช่วงนี้สีของรอยสักที่ได้จากมาได้หลุดติดเล็บมือไปอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเลี่ยงได้ในเรื่องของการแคะแกะเกาก็ควรที่จะเลี่ยงไปก่อน มิเช่นนั้นหากเราทำการเกาไปแล้วถ้าสีไม่หลุดติดเล็บมือมา ก็อาจจะทำให้เกิดอาการบวมแดงหรือการอักเสบและการติดเชื้อได้อีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหากเกิดอาการเหล่านี้แล้วนั้นก็จำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อที่จะทำการปรึกษาและรักษาได้อย่างถูกต้องและไม่ทำให้เกิดปัญหาที่บานปลายต่อไป
ซึ่งในช่วงนี้นั้นเรื่องของวิธีการดูแลทำความสะอาดแผลในบริเวณรอยสัก ก็ยังคงทำเช่นเดิมและเพิ่มเติมด้วยการทาครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกันต่อไปเพื่อลดอาการบวมแดงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการสักและทำให้แผลที่แห้งแล้วนั้นได้รับความชุ่มชื้นได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังช่วยให้รอยสักที่คุณต้องการนั้นมีความสวยงามได้ดั่งใจคุณอีกด้วย
ช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังจากรอยสักเริ่มเซตตัว
เมื่อเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลังจากที่รอยสักนั้นเริ่มเซตตัวแล้วหรือรอยสักกำลังเริ่มเข้าที่เข้าทางจะเป็นช่วงที่คุณสามารถผ่อนคลายในบางส่วนได้เป็นอย่างดี ซึ่งในระยะนี้ก็จะสังเกตเห็นว่าสะเก็ดแผลในบริเวณที่เราสักมานั้นจะเริ่มมีการหลุดออกไปเองและเช่นเคยห้ามแคะ แกะ หรือเกาเด็ดขาด ถ้าอยากได้รอยสักสวย ๆ และในช่วงนี้ก็ยังคงที่จะต้องบำรุงด้วยการทาครีมสำหรับการดูแลรอยสักโดยเฉพาะที่จะช่วยให้ผิวในบริเวณรอยสักมีความชุ่มชื้นและยังคงไว้ซึ่งสีจากการสักที่มีความสดและใหม่อยู่เสมออีกด้วย
ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วรอยสักนั้นจะเริ่มเข้าที่ในช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 นี้ก็จริงแต่ที่ดีควรดูแลรอยสักต่อไปจนถึงเดือนที่ 3 เพื่อจะเป็นการทำให้คุณนั้นได้พบกับรอยสักที่มีความสดใหม่และสามารถคงอยู่ได้อย่างยาวนานในแบบที่คุณนั้นไม่เคยสัมผัสมาก่อน
การดูแลในระยะยาว
การดูแลรอยสักในระยะยาวนั้นถือว่ามีความสำคัญอีกเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าในช่วง 2-3 เดือนนั้นจะต้องมีการดูแลรอยสักที่พิถีพิถันกันเสียหน่อย แต่หลังจากนั้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูแลรอยสักกันอยู่เพราะแน่นอนว่าปล่อยปละละเลยและลืมไปว่าตนนั้นเคยผ่านการสักมาแล้วและไม่จำเป็นที่จะต้องดูแลรอยสักก็อาจทำให้รอยสักของคุณเกิดสีที่มีความหมองและไม่สวยงามเหมือนตอนที่สักมาแรก ๆ โดยวิธีการดูแลหลังจากการสักในระยะยาวนั้นที่ดีเลยคือการทาบำรุงด้วยครีมหรือเจลสำหรับบำรุงรอยสักโดยเฉพาะ
เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงรอยสักเหล่านี้จะช่วยให้รอยสักของคุณมีความสดและใหม่อยู่เสมอไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาและยังทำให้คุณนั้นสามารถเผยรอยสักสวย ๆ แบบนี้ออกสู่สายตาของผู้คนได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเลยว่ารอยสักนั้นจะซีดลงหรือไม่ หรือรอยสักของคุณนั้นจะเกิดการลอกออกโดยที่คุณลืมสังเกตหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำรุงด้วยครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับการดูแลรอยสักนั่นเอง
เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถดูแลรอยสักที่เรานั้นได้ทำการสักมาได้แล้ว ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าวิธีการดูแลรอยสักหลังจากการจากนั้นอาจจะดูยุ่งยากไปเสียหน่อย แต่เพียงเราอดทนช่วยอึดใจในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็จะทำให้เราได้มีรอยสักสวย ๆ ที่เป็นศิลปะแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจนแล้วนั่นเอง ดังนั้นหากใครที่กำลังวางแผนว่าจะไปสักลายหรือกำลังอยู่ในขั้นตอนของการดูแลรอยสักนั้น ก็สามารถที่จะนำเอาความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลรอยสักเหล่านี้ไปใช้กันต่อได้เลย
Yorumlar